Mont Saint-Michel
มหาวิหารกลางวารี
ภาพฝันในนิยายของปราสาทที่ลอยเด่นกลางผืนน้ำขนาดใหญ่พร้อมกับเงาสะท้อนลงผืนน้ำ ใครๆ ที่ได้เห็นก็ต่างคิดในใจว่าภาพนี้เป็นภาพจริง หรือสร้างขึ้นมาเพื่อประกอบฉากภาพยนตร์เท่านั้น แต่สถานที่นี้มีอยู่จริง
Mont Saint – Michel คือวิหารที่ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ ที่เกิดจากน้ำขึ้นน้ำลง (Tidal Island) ที่อยู่ในแถบ Normandy ทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส ตั้งอยู่ปากแม่น้ำ Couesnon ใกล้กับเมือง Avranches บนพื้นที่ 247 เอคอร์ และมีประชากรบนเกาะเพียง 44 คนเท่านั้น
เกาะนี้มีประวัติเริ่มต้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 และ 7 โดยใช้เป็นฐานที่มั่นของชาว Gallo-Roman ก่อนที่จะถูกตีแตกพ่ายไปและเข้ายึกครองโดยชาว Franks และเรียกเกาะแห่งนี้ว่า MontTombe โดยตามตำนานกล่าวไว้ว่าเทวทูต Michael(เซนต์ไมเคิล) ได้มาเข้าฝันนักบุญ Aubert บิชอปแห่งเมือง Avranches และในฝันองค์ Michel ได้รับสั่งให้บิชอปสร้างสิหารขึ้นบนเกาะหินแต่นักบุญ Aubert ไม่ได้ปฏิบัติตามนั้น เนื่องจากนึกว่าที่เข้าฝันเขานั้นคือปีศาจที่พยายามชักนำ จนถึงการเข้าฝันครั้งที่สามองค์ Michel ได้ใช้นิ้วชี้เผาบริเวณหน้าผากของ Aubert ในฝัน และเมื่อตื่นขึ้นมา ก็มีร่องรอยอยู่ที่หน้าฝากจริง Aubert จึงได้รับสั่งให้ดำเนินการสร้างวิหารตามที่ได้รับสั่งมาในฝัน
การสร้างวิหารนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากต้องขอหินมาจากพื้นที่ใกล้เคียง โดยส่วนใหญ่นำมาจากเกาะ Chausey นอกจากชายฝั่งไปสิบกว่ากิโลเมตรและจากเขต Bretagne (Britany ในภาษาอังกฤษ)
หลังจากการก่อสร้างแล้วเสร็จ Mont Saint-Michel ได้กลายเป็นที่แสวงบุญของนักบวชชาวคริสต์ และศาสนิกชนที่เคร่งครัดในศาสนา และมีการเดินทางจากฝั่งไปที่เกาะเป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากกระแสน้ำที่ขึ้น-ลงอย่างรวดเร็วของแถบนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตระหว่างการเดินข้ามไปที่เกาะอยู่หลายครั้ง ต่อมาเกิดตะกอนทับถมปากน้ำแม่น้ำ Couesnan ให้ตื้นเขินขึ้นมากและสามารถเดินได้รอบเกาะ จนมีการสร้างทางเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่ Causeway ขึ้นในปี ค.ศ. 1879 แต่ในพี 2006 ทางกรได้ลงทุนกว่าหกพันล้านบาท สร้างเขื่อนเพื่อควบคุมกระแสน้ำ ทำให้สลายการทับถมจน Mont Saint-Michel กลับมาเป็นเกาะอีกครั้ง พร้อมรื้อทางเชื่อมและแทนที่ด้วยสะพานโปร่งที่ให้น้ำไหลลอดผ่านได้ โดยเพิ่งเปิดใช้งานในปี 2014 นี่เอง ส่วนลานจอดรถตรงทางเชื่อมก็ถูกรื้อและย้ายขึ้นไปบนฝั่ง โดยมีรถชัตเติลบัสรับส่งระหว่างที่จอดรถข้ามสะพานไปยังเกาะแทน
ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 11-16 มีการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนเติ่มเติมภายในเกาะ และมีประชาชนย้ายเข้ามาอยู่มากขึ้นมีการตั้งหมู่บ้านขึ้นมาที่เชิงเขา และเนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยต่อการป้องกันตัวเอง ทำให้เกาะแห่งนี้ถูกใช้เป็นทั้งที่มั่นทางทหารด้วย นอกเหนือจากศาสนสถาน และยังสามารถต้านทานการบุกของอังกฤษ ในช่วงสงรามร้อยปี (ค.ศ.1337-1453) ขณะเดียวกันคณะสงฆ์ของวิหารแห่งนี้ก็เพิ่มความมั่งคั่งและอิทธิพลขึ้น แต่ก็กลับตกต่ำลงเมื่อถึงยุคการปฏิรูปศาสนา (Reformation) ต่อมาในสมัยปฏิบัติฝรั่งเศส วิหารแห่งนี้ก็ร้างผู้คนจนถูกนำมาใช้เป็นคุกคุมขังนักโทษสำคัญแทน ในปี ค.ศ. 1836 กลุ่มปัญญาชนของฝรั่งเศส รวมทั้ง Victor Hugo (ผู้แต่งเรื่อง Les Miserables และ The Hunchback of Notra-Dame ซึ่งเป็นทั้งนักประพันธ์และผู้มีอิทธิพลทางความคิดคนสำคัญในยุคนั้น) ได้พากันเรียกร้องให้อนุรักษ์มรดกสำคัญของชาติ นำไปสู่การเลิกใช้คุกในปี ค.ศ. 1863 และประกาศเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ในปี ค.ศ. 1874
ปัจจุบันนี้ Mont Saint-Michel เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทัวร์ยุโรปตะวันตกที่มีคนมาเข้าชมมากกว่าปีละ 3 ล้านคน ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับการเยี่ยมชมมากที่สุดเป็นอันดับสามในฝรั่งเศสรองจากหอไอเฟลและพระราชวังแวร์ซายน์