เมืองคัปปาโดเกีย
Cr.ภาพจากทีมงาน The Ghost Radio
เมืองคัปปาโดเกีย (Cappdocia) ที่เป็นเมืองมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งในตุรกี คำว่า คัปปาโดเกียมาจากภาษาเปอร์เซียว่า คัตปาตุกา (Katpatuka) มีความหมายว่า ดินแดนที่มีม้าแสนสวย (The Land of Beautiful Horses) ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เคยเป็นภูเขาไฟ ชื่อเอร์จีเยส (Erciyes) สูง 3,916 เมตร บนยอดเขามีหิมะปกคลุมตลอดปี สามารถมองเห็นทั้งทะเลดำและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้เกิดระเบิดพ่นลาวาออกมาปกคลุมพื้นที่กว้างหลายร้อยไมล์ ต่อมาพายุลมฝนได้กัดกร่อน ชั้นลาวาเหล่านี้ทีละเล็กละน้อยจนกลายสภาพเป็นหุบเขา ร่องลึก แปรรูปพรรณสัณฐานเป็นเสาหิน กรวยหิน กำแพงถ้ำ
ดินสีขาวนวลของหินผาในแถบนี้จะมีลักษณะคล้ายทราย แต่มีความอุดมสมบูรณ์มากกว่าดินในเขตทุ่งหญ้าสเตปป์ของราบสูงอนาโตเลียที่อยู่โดยรอบ ต้นไม้ใหญ่ เถาองุ่น และพืชผักต่างๆ สามารถเจริญงอกงามได้ง่ายในดินชนิดนี้ อันเป็นปัจจัยดึงดูด ผู้คนให้เข้ามาตั้งรกรากตั้งแต่ในอดีต และปัจจุบันยังดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเที่ยวตุรกีอีกด้วย และยังเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม ที่มีการค้าขายแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ทอดยาวไกลไปถึงประเทศจีน ประกอบด้วยเมืองสำคัญตั้งอยู่เป็นสามเหลี่ยมคือ อาวาโนส (Avanos) เนฟเชฮี (Nevsehir) อูร์กุป (Urgup) และเกอเรเม(Goreme)
Cr. ภาพจากทีมงาน The Ghost Radio
เนื้อหินในหุบเขาแห่งนี้จะอ่อนนิ่ม จึงเหมาะในการแกะสลัก เจาะ ขุดเป็นห้อง เป็นคอกม้า เป็นบ้าน โบสถ์ ค่ายทหาร ที่พัก โรงอาหารของนักบวช ห้องบำเพ็ญเพียร ซึ่งเหมาะในการในการอยู่อาศัย อากาศเย็นสบายในฤดูร้อน อากาศอบอุ่นในฤดูหนาว พวกกรีกออร์โธดอกซ์และอาร์เมเนียนอาศัยอยู่รวมกันในบริเวณนี้มาก่อน ต่อมาถึงสมัยออตโตมันเปลี่ยนจากโบสถ์มาเป็นสุเหร่าในศาสนาอิสลาม จนถึงปี 2467 มีการเซ็นสนธิสัญญาโลซานส์ (Lausanne) ประกาศอิสรภาพของตุรกี ชาวกรีกได้อพยพออกจากบริเวณนี้ไป ชาวตุรกีจากคาบสมุทรบอลข่านได้เข้ามาอยู่แทนที่
การเที่ยวตุรกีชมคัปปาโดเกีย จะมีหลายแห่งที่ไม่ควรพลาดชม แต่ละแห่งมีความงดงามแตกต่างกันออกไป ทั้งวิวทิวทัศน์ โบสถ์คริสต์ในภูเขา ถ้ำ บ้านที่เจาะเป็นช่องเข้าไปภูเขาหินรูปร่างต่างๆ กลุ่มของหุบเขา ป่าหิน โบสถ์กรวยหิน ที่ล้วนแต่สวยงาม ได้แก่
1. เกอเรเม (Gereme) สวยและมีชื่อเสียงที่สุด เรียกกันว่า Open Air Museum หรือ Rock Churches สามารถเดินชมได้อย่างเพลิดเพลิน ตื่นตาตื่นใจยิ่ง เริ่มตั้งแต่
1.1 Nun’s Monastery ภูเขากรวยหิน เจาะเป็น 6 ชั้น ทำเป็นห้องอาหาร ห้องครัว โบสถ์ ภายในมีภาพเขียนสีแดงเฟรสโก ที่มีคุณภาพมีชื่อเสียงมาก
1.2 โบสถ์เซนต์บาซิล (St.Basil Cathedral) 4 แห่ง เจาะเข้าไปในผนังหิน
1.3 โบสถ์เอลมาลิ (Elmali Kilise หรือ Apple Church) เจาะเป็นผังรูปไม้กางเขน เป็นอุโมงค์ มีหน้าต่างเจาะอยู่ในที่สูง เพื่อแสงสว่างส่องเข้าไปข้างใน มีภาพเขียนสีสวยงาม เขียนรูปพระเยซุ พระแม่มารีเซนต์จอห์นผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิล Alias, Daniel, Jonas และ Moses
1.4 โบสถ์เซนต์บาร์บารา (St.Babara Church) มีภาพเขียนสีคนขี่ม้า พระเยซู เขียนสีแดง-ดำ
1.5 โบสถ์ยีลานลิ (Yilnanli Kilise หรือ Snake Church) มีภาพเขียนด้วยสีแดงเพียงสีเดียว
1.6 โบสถ์เซนต์แคเธอรีน (St.Katherine Church) มีแท่นบูชาเจาะเป็นห้องเล็กๆ
1.7 โบสถ์มืด (Dark Church) มี 2 ชั้น สร้างมาแล้วราว 1,000 ปีมีขนาดเล็ก แคบ มีแสงสว่างเข้ามาน้อย แต่มีภาพสีแบบเฟรสโก (เขียนขณะที่ผนังปูนยังเปียกอยู่ หากเขียนผิดพลาดต้องรอให้ปูนแห้งก่อนแล้วจึงกะเทาะปูนนออก พอกใหม่ แล้วจึงจะเขียนได้) ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ที่สุด สียังสดใสงดงามในโทนสีน้ำตาลเข้มและแดง
1.8 โบสถ์คาริกลิ (Carikli Church) เป็นแห่งสุดท้ายที่สวยงามไม่ควรพลาดชม ในบรรดากว่า 100 โบสถ์ที่มีการขุดผนังเข้าไปทำเป็นห้องเป็นโบสถ์ในเมืองเกอเรเม
2. พาซาแบค (Pasabag) เดินทางโดยรสบัสจากเกอเรเมราว 25 นาที บนเส้นทางไปยังอวาโนส (Avanos) จะเห็นกลุ่มภูเขาหิน เป็นรูปกรวยมีหมวกวางอยู่ข้างบน แปลกตาสวยงามมาก ไม่มีที่ใดเหมือนจุดเด่นคือ ภูเขา 3 ปล่องไฟ สมญา Hermitage of St. Simon ที่พำนักของบาทหลวงไซมอนเมื่อ 1,500 ปีมาแล้ว ซึ่งเดินทางมาจากเยรูซาเลม เพื่อปลีกวิเวกแสดงหาที่ปฏิบัติธรรม และเป็นที่นิยมของพระองค์อื่นๆ ต่อมา บางครั้งจึงเรียกกันว่า The Valley of the Monks
3. เดอร์เบนท์ (Derbent) เป็นหุบเขาหินสีชมพู ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ปรุงแต่งหินที่นี่เป็นรูปร่างต่างๆ แปลกๆ มากเช่น โลมา เพนกวิน พระแม่มารีและพระสาวก ที่สำคัญโดดเด่นคือหินรูปอูฐหมอบอยู่มีขนาดใหญ่สีชมพูและเหมือนอูฐของจริงเป็นอย่างมาก จึงเป็นจุดที่ทุกคนจะต้องมาขอถ่ายรูปด้วยทุกคน
4. เมืองใต้ดินเคย์มากลิ (Underground City of Kaymakli) ในช่วง 2,000 ปีมาแล้ว ชาวเมืองหนีภัยพวกโรมันที่ต้องการฆ่าผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ โดยขุดภูเขาหินทำเป็นเมืองอยู่ใต้ภูเขา ปัจจุบันค้นพบถึง 40 กว่าแห่ง ลึกลงไปเท่ากับตึก 10 ชั้น มีอุโมงค์ความยาวเชื่อมต่อกันได้ราว 80 กิโลเมตร มีก้อนหินรูปกลมแบบขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.50 เมตร หนา 50 เซนติเมตร หนักถึง 300 กิโลกรัม ไว้สำหรับปิดอุโมงค์ทางเดินแคบเป็นช่วงๆ เพื่อป้องกันข้าศึก ห้องแรกๆ จะเป็นคอกม้า มีหลุมใส่หญ้ามีที่ผูกม้า ห้องต่อๆไปจะเชื่อมถึงกันหมด และค่อยๆ ลึกลงไปเรื่อยๆ ทำเป็นห้องอาหาร ห้องนอน ห้องส้วม ห้องครัว โบสถ์ โรงเรียน ห้องเก็บอาหาร เก็บไวน์ มีช่องใส่ตะเกียงน้ำมัน ช่องเก็บหม้อดินเผา ห้องเลี้ยงสัตว์ จำพวกแกะ แพะ เป็ด ไก่ และวัว ผู้คนที่อยู่ใต้ดินยังทำเบียร์จากข้าวบาร์เลย์ ทำไวน์จากองุ่น และยังมีบ่อน้ำมากถึง 200 บ่อ
คาดกันว่ามีผู้คนอาศัยอยู่ในเมืองใต้ดินราว 10,000 คน มีความลึกเฉลี่ยลงไปในดินราว 25 เมตร มีอุโมงค์แคบๆถึง 100 อุโมงค์ มีช่องระบายอากาศที่ดีและพอเพียง อุณหภูมิเฉลี่ย 14-16 องศาเซลเซียสตลอดปี
Cr. เนื้อหาบทความจากคุณไพรัตน์ สูงกิจบูลย์