อาบู ซิมเบล
อาบู ซิมเบล หนึ่งในสถานที่ต้องไปเมื่อไปทัวร์อียิปต์
วันนี้นางฟ้าจะพาลัดฟ้าไปชมสุดยอดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ประเทศอียิปต์ สถานที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดอลังการงานสร้างอีกแห่งที่ทุกคนรอคอยและตั้งตาชมหากได้ไปเที่ยวอียิปต์ และสถานที่นั้นก็คือ อาบู ซิมเบล นั่นเอง เพราะฉะนั้นอย่ารอช้า ตามนางฟ้ามากันเลยค่ะ
อาบู ซิมเบล ตั้งอยู่ที่เมืองอัสวาน ประเทศอียิปต์ เป็นโบราณสถานอันงดงามของชาวอียิปต์โบราณ ประกอบด้วยวิหารหินทรายแกะสลัก 2 วิหารคือ วิหารหลวง (Great Temple) ของฟาโรห์รามเสสที่ 2 และวิหารฮาเธอร์ (Hathor Temple) ซึ่งเป็นของพระนางเนเฟอตาริ (Queen Nefertari) ผู้เป็นพระมเหสี
อาบู ซิมเบล ตั้งอยู่ริมทะเลสาบนัสเซอร์ (Lake Nasser) ซึ่งห่างจากเขื่อนอัสวานไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 290 กิโลเมตร เดิมแล้วอาบู ซิมเบลเป็นเทวสถานหินแกะสลักอยู่บนภูเขาหินทรายที่อาบู ซิมเบล ตั้งอยู่ริมฝั่งซ้ายของแม่น้ำไนล์ ต่อมาอียิปต์ได้ทำการเคลื่อนย้ายอาบู ซิมเบลมาจากที่ตั้งเดิม เนื่องจากการก่อสร้างเขื่อนอัสวานที่แม่น้ำไนล์ ทำให้ที่ตั้งเดิมของอาบู ซิมเบลเป็นเขตน้ำท่วม และกลายเป็นทะเลสาบจากการผันน้ำมาจากแม่น้ำไนล์
อาบู ซิมเบล ได้ชื่อว่าเป็นเทวสถานที่ยิ่งใหญ่และงดงามที่สุดในอียิปต์ สร้างโดยฟาโรห์รามเสสที่ 2 เมื่อ 1264-1284 ปีก่อนคริสตกาล เพื่อเป็นเทวสถานของพระองค์กับพระมเหสีพระนามเนเฟอตาริ การก่อสร้างอาบู ซิมเบลใช้เวลานานถึง 20 ปีจึงเสร็จสมบูรณ์ ฟาโรห์รามเสสที่ 2 ทรงสร้างอาบู ซิมเบลขึ้นเพื่อถวายแด่เทพอาร์เมคิสหรือสุริยเทพ และประกาศความยิ่งใหญ่ของพระองค์ในฐานะกษัตริย์ปกครองอียิปต์
เมื่อครั้งที่อาบู ซิมเบลตั้งอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ กระแสน้ำพัดเอาโคลนตมและทรายมากลบฝังวิหารจนมิด อาบู ซิมเบลจึงหายสาบสูญไปจากสายตาของชาวโลกนานหลายศตวรรษ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 1813 โยฮันน์ ลุดวิก บวร์กคฮาร์ท (Johann Ludwig Burckhardt, ค.ศ. 1784-1817) นักสำรวจชาวสวิส เยอรมัน เดินทางสำรวจริมฝั่งแม่น้ำไนล์ ผ่านมาเห็นส่วนบนของเทวรูปขนาดยักษ์โผล่พ้นพื้นทรายขึ้นมา บวร์กคฮาร์ทจึงพบวิหารอาบู ซิมเบลของรามเสสที่ 2 เข้าโดยบังเอิญ เมื่อข่าวลือเรื่องการพบวิหารโบราณนี้แพร่ออกไป นักสำรวจชาวอิตาลี ชื่อว่า โจวานนี่ บาติสตา เบลโซนี (Giovanni Battista Belzoni, ค.ศ 1778-1823) ได้มาสำรวจจนพบทางเข้าวิหารหลวงในปี ค.ศ. 1817
การขุดค้นวิหารอาบู ซิมเบลจากดินทรายที่แม่น้ำพัดพามากลบฝังอยู่ใช้เวลานานเกือบศตวรรษ ในปี ค.ศ 1907 เทวรูปยักษ์ซึ่งนักสำรวจชาวสวิสพบ แต่ส่วนบนสุดจึงเผยโฉมออกมาให้เห็นว่า เป็นเทวรูปประติมากรรมหินแกะสลักของรามเสสที่ 2 จำนวน 4 รูป รามเสสที่ 2 อยู่ในฉลองพระองค์ชุดฟาโรห์ สวมมงกุฎ 2 อาณาจักรของอียิปต์ (อียิปต์บนและอียิปต์ล่าง) มีเครายาว ประทับอยู่บนบัลลังก์ พระหัตถ์ทั้งสองวางอยู่บนพระเพลา กับรูปฟาโรห์ตอนหนุ่มเมื่อพระชนมายุ 20 พรรษา (เพิ่งขึ้นครองราชย์) และเมื่อพระชนมายุ 40 พรรษา (ตอนสร้างวิหารเสร็จ) ทั้งหมดเป็นหินแกะสลักขนาดยักษ์ สูง 20 เมตร รามเสสหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ระหว่างพระชงม์ของพระองค์มีรูปปั้นขนาดเล็กของพระนางเนเฟอตาริและพระมารดาของรามเสส ที่ 2 ตั้งอยู่ ด้านหน้าฐานรองพระบาทของฟาโรห์สลักอักษรภาพ ด้านข้างเป็นภาพเชลยศึกชาวซีเรียและปาเลสไตน์คุกเข่าเรียงกันเป็นแถว เหนือซุ้มประตูทางเข้าวิหารเจาะเป็นช่องสี่เหลี่ยม ประดิษฐานเทวรูปเทพเจ้าอาร์เมคิส
วิหารหลวงของอาบู ซิมเบลสร้างขึ้นถวายรามเสสที่ 2 กับเทพเจ้าทั้งสามของอียิปต์คือ อะมอน รา และพทาห์ บนคานหน้าวิหารหลวงมีรูปลิงบาบูนแกะสลัก (ปัจจุบันเหลืออยู่ 22 ตัว จากเดิมที่เคยมี 24 ตัว) เป็นเครื่องบูชาพระอาทิตย์ ตามความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณว่า ลิงบาบูนช่วยขจัดความมืดให้กับราหรือสุริยเทพ ลิงบาบูนจึงเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวอียิปต์
บนผนังในวิหารที่เจาะลึกเข้าไปในภูผา มีภาพสลักนูนของรามเสสในพระอิริยาบถต่าง ๆ กันเช่น ประทับบนราชรถ ทอดพระเนตรการตัดมือของเชลย และถวายเครื่องสักการะเทพเจ้า เป็นต้น ผนังด้านหลังวิหารซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดของอาบู ซิมเบล มีรูปปั้นขนาดยักษ์อีก 4 รูป เป็นรูปรามเสสที่ 2 ประทับยืนเคียงข้างเทพเจ้า 3 องค์คือ อะมอน รา และพทาห์ สถาปนิกชาวอียิปต์โบราณออกแบบวิหารให้แสงอาทิตย์ส่องเข้าไปถึงห้องชั้นในและมายังเทวรูปทั้งสี่ที่อยู่ด้านหลังวิหารได้ แสงอาทิตย์ส่องมาถึงด้านหลังของวิหารอาบู ซิมเบลปีละ 2 ครั้ง คือในเดือนตุลาคมและเดือนกุมภาพันธ์
ส่วนวิหารฮาเธอร์ของพระนางเนเฟอตาริอยู่ทางด้านเหนือของวิหารหลวงองค์หลัก เป็นวิหารที่ประดิษฐานเทพีฮาเธอร์ (ในรูปของวัว) เสาในห้องโถงใหญ่ (เกรทไฮโปสไตล์ฮอลล์ Great Hypostyle Hall) แกะสลักหัวเสาเป็นรูปเทพีฮาเธอร์ ในวิหารมีภาพแกะสลักรูปพระนางเนเฟอรตาริทอดพระเนตรฟาโรห์รามเสสที่ 2 กำลังสังหารศัตรูของอียิปต์
เมื่อมีการก่อสร้างเขื่อนอัสวาน อาบู ซิมเบลอยู่ในเขตน้ำท่วมจากการผันน้ำจากแม่น้ำไนล์เข้ามาในทะเลสาบนัสเซอร์ เช่นเดียวกับโบราณสถานสำคัญๆ อีกหลายแห่ง ทางการอียิปต์จึงจำเป็นต้องย้ายอาบู ซิมเบลออกไปจากบริเวณที่ถูกน้ำท่วม ปฏิบัติการย้ายอาบู ซิมเบล วิหารโบราณของอียิปต์ซึ่งมีอายุกว่า 3,000 ปี และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกนี้ได้รับความร่วมมือจากหลายประเทศ โดยองค์การยูเนสโกของสหประชาชาติเป็นหน่วยงานหลักในการระดมเงินทุนและขอความช่วยเหลือจากนักวิชาการทั่วโลกระหว่างปี ค.ศ. 1964-1968 อาบู ซิมเบลก็ถูกเคลื่อนย้ายจากริมแม่น้ำไนล์เพื่อไปอยู่ริมทะเลสาบนัสเซอร์ ห่างจากเขื่อนอัสวาน 250 กิโลเมตร ด้วยความร่วมมือและความช่วยเหลือของหลายประเทศ ที่ทำการส่งผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขามาช่วยในการย้ายครั้งนี้เช่น ช่างฝีมือผู้ชำนาญการดัดหินอ่อนจากอิตาลี วิศวกรรชาวเยอรมัน นักคำนวณชาวฝรั่งเศส นักโบราณคดีอียิปต์ ช่างระเบิดหินจากสหรัฐอเมริกา และผู้ชำนาญพิเศษในการใช้เครนขนย้ายสิ่งของขนาดใหญ่จากสวีเดน อาบู ซิมเบลถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ หินแต่ละชิ้นมีน้ำหนักประมาณ 22 ตัน ชิ้นส่วนของอาบู ซิมเบลจำนวนมากกว่าพันชิ้นได้ถูกนำมาประกอบใหม่บนหน้าผาของภูเขาจำลอง ซึ่งอยู่สูงกว่าระดับน้ำท่วมถึง 65 เมตร จนเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1968 การย้ายอาบู ซิมเบลครั้งนี้ใช้เงินงบประมาณหมดไปรวมทั้งสิ้น 40 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
อาบู ซิมเบลเป็นโบราณสถานที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม รวมทั้งเป็นเทวสถานที่สวยงามที่สุดของอียิปต์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สร้างขึ้นด้วยฝีมือของชาวอียิปต์โบราณ องค์การยูเนสโกของสหประชาชาติได้ประกาศขึ้นทะเบียนวิหารอาบู ซิมเบลเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรมเมื่อปี ค.ศ. 1979
หลังจากชมความยิ่งใหญ่ที่นางฟ้านำมาเสนอกันแล้ว หากท่านใดชื่นชอบชื่นชม และอยากไปเห็นความอลังการของวิหารแห่งนี้กับตาของตัวเองสักครั้ง ท่านสามารถเข้าไปเลือกชม ทัวร์อียิปต์ แพคเกจทัวร์อียิปต์ เที่ยวอียิปต์ แพ็คเกจทัวร์อียิปต์ ได้เลยนะคะ อยากให้มาเที่ยวด้วยกันเยอะๆ แล้ว #นางฟ้าจะพาไป