ลัดฟ้าสู่บาน่าฮิลล์
อีกหนึ่งในเอเชียที่น่าเที่ยวไม่แพ้ใคร นั่นคือ การทัวร์เวียดนาม ทริปนี้นางฟ้าพาเที่ยวเวียดนามกับทริป 4คืน 3วัน
เราเริ่มเดินทางกันวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 เมื่อทำการเช็คอินที่เคาน์เตอร์แล้ว พวกเราก็จะมาซื้อ sim to fly ที่เคาน์เตอร์AIS ราคาซิมอยู่ที่400 บาท หากไปกับเพื่อน 2 คน แนะนำซื้อซิมเดียวแล้วแชร์ฮอทสปอร์ตดีกว่าค่ะ เพื่อเป็นการประหยัด เพราะที่เวียดนามทุกโรงแรมมี WIFI ให้
หลักจากนั้นเราก็เข้าไปในอาคารผู้โดยสาร เดินเล่นและนั่งรอเครื่อง
บรรยากาศภายในสนามบินหลังจากผ่าน ตม.เข้ามา
โดยเครื่องออกเวลา 16.20 น. ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิถึงดานังประมาณ 1ชั่วโมง 10 นาที และแล้วก็มาถึงสนามบินดานัง แห่งประเทศเวียดนาม
เรามาเสียเวลาตรงด่าน ตม. ประมาณเกือบ 1 ชั่วโมงค่ะ เพราะเจ้าหน้าที่ค่อนข้างน้อย นักท่องเที่ยวเยอะมาก
Taxi ที่นี่เขาหน้าตาเป็นแบบนี้นะคะ
เราเดินทางด้วยรถบัสที่ดูใหม่ สะอาด ไกด์ท้องถิ่นมารอรับและพาไปจุดแรกกันเลยค่ะ ไกด์เลยพาลูกทัวร์ไปทานอาหารเย็นกันก่อนเลยค่ะ เป็นอาหารพื้นเมือง ที่เรียกว่า หาทานไม่ได้ในไทยแน่นอน
อาหารพื้นเมือง
หลังจากที่ทานกันเสร็จพวกเราก็ได้ไปเดินสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลต์ของทัวร์เวียดนามแห่งเมืองดานังกันเลยค่ะ นั่นคือสะพานมังกร ในพื้นที่นี้เป็นสถานที่ที่รวมผลงานของทั้ง 3 ประเทศเข้าด้วยกัน นั่นคือ สะพานมังกรฝีมือของชาวเวียดนาม คราฟดรากอน รูปร่างคล้ายเมอร์ไลออนประยุกต์ศิลปะมาจากทางสิงคโปร์ซึ่งหัวเป็นสิงโต แต่หางเป็นปลา และจุดที่ 3 คือ สะพานแห่งความรักที่ผู้คนนิยมมาคล้องกุญแจ และอธิฐานเกี่ยวกับเรื่องความรัก ถอดแบบมาจากในประเทศเกาหลีกันเลยจ้า นี่แค่วันแรกนะเนี่ย เหมือนได้เยือน 3 ประเทศเลย
สะพานมังกรยามค่ำคืนจะดูสวยงามมาก เปิดไฟไล่โทนสี สลับไปมา โดยหัวมังกรหันออกไปทางทะเลจีนใต้ของประเทศเวียดนาม
คราฟดรากอน ที่มองคล้ายเมอร์ไลออน มีความแตกต่างกันตรงที่หางเป็นปลานี่แหล่ะค่ะ
สะพานแห่งความรัก ที่ผู้คนนิยมมาคล้องกุญแจ เพื่ออธิบายขอรักแท้กันค่ะ
หลังจากเดินเก็บภาพสวยๆกันแล้ว เราก็กลับที่พักโรงแรม เพื่อชาร์จแบตร่างกายต้อนรับการเดินทางทริปวันรุ่งขึ้น
<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<****>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
เช้าวันที่ 10 พฤษภาคม 2562 อากาศวันนี้สดใส ไม่มีฝนมากวนใจเลยสักนิด
เติมพลังกันด้วยอาหารเช้าของโรงแรม
เมื่อทานอาหารเสร็จ ก็เริ่มเดินทางผจญภัยกับเรือกระด้งแห่งเมืองฮอยอัน วันนี้โชคดีจริงๆ ไม่ค่อยมีแดดมากวนใจ หรือฝนฟ้ามาทำให้หมดสนุก เราใช้เวลาอยู่บนเรือกระด้งราวๆ ประมาณ 50 นาที
บรรยากาศที่นี่ แวดล้อมไปด้วยต้นไม้สีเขียวที่ดูคล้ายต้นมะพร้าวที่ดูหนาตา ล้อมรอบไปด้วยน้ำที่ดูเป็นมนต์เสน่ห์ของที่แห่งนี้
ชมโชว์ผาดโผนเรือกระด้ง
ทริปถัดมา ทางไกด์ก็มามาเที่ยวชมเมืองโบราณฮอยอัน จุดที่ควรมาเช็คอินนั่นคือ สะพานญี่ปุ่น ที่สร้างโดยชาวญี่ปุ่นเป็นรูปทรงโค้ง มีหลังคามุงกระเบื้องสีเขียวและเหลืองเป็นลอนคลื่น ตรงกลางสะพานมีเจดีย์ทรงศาลเจ้าโบราณ เป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่ของเมืองฮอยอัน สี่เหลี่ยมจัตุรัส ซึ่งสร้างเชื่อมเขตชาวญี่ปุ่น จุดนี้นักท่องเที่ยวนิยมมาขอพรกันที่นี่
ในหมู่บ้านโบราณแห่งนี้ สิ่งปลูกสร้างก็จะดูโบราณตามคอนเซ็ป ไม่เส้นสีสันมากมาย เรียงรายไปด้วยร้านค้านานาชนิด ส่วนใหญ่จะเป็น เสื้อผ้าชาวพื้นเมือง และของที่ระลึก เรามีเวลาเดินเที่ยวชมกันจนเมื่อยเลยค่ะ ใช้เวลาไปเกือบ 1.30 ชั่วโมง ก็ต้องเดินทางไปต่อ
สะพานญี่ปุ่นจุดไฮไลต์ของเมืองโบราณฮอยอัน
บรรยายกาศรายล้อมไปด้วยร้านค้านานาชนิด
เมื่อเดินจนเหนื่อยแล้ว ก็ได้เวลาอาหารกันแล้วค่ะ อาหารเวียดนามจะคล้ายๆ กันทุกร้าน เน้นจืดๆ ไม่แซ่บเหมือนบ้านเรา แนะนำเลยว่า หากท่านใดที่ชอบรสจัด แนะนำให้พกน้ำพริกไปด้วยค่ะ ก่อนขึ้นรถอย่าลืมแวะร้านขนม ที่ขึ้นชื่อนะคะ ขอบอก...อร่อยมาก ราคาก็ไม่แพง
หลังจากเติมพลังและได้ขนมของฝากกันแล้ว เราก็ไปต่อกันที่วัด เถึยนมู่กันเลยค่ะ
พลาดไม่ได้กับเจดีย์เถียนมู่ ที่เรียกว่าเป็นไฮไลต์ของเมืองเว้ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำหอม (Perfume River) เมืองเว้
ณ ที่แห่งนี้มีตำนานเกี่ยวกับการเรียกร้องความยุติธรรม ทนเห็นความทารุณโหดร้ายจากการใช้อำนาจของรัฐปราบปรามเข่นฆ่าชาวพุทธต่อไปไม่ได้ จึงได้ขับรถคันนี้ซึ่งเป็นพาหนะไปเผาตัวเองที่กลางกรุงไซ่ง่อนหรือโฮจิมินห์ซิตี้ในวันที่ 11 มิถุนายน พ.ส. 2506 เพื่อเป็นการประท้วงรัฐบาลโงดินห์เดียมที่มีการฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งยังมีซากรถออสตินสีฟ้าในสภาพที่สมบูรณ์ ยังอยู่ที่นี่ค่ะ
เมื่อเติมพลังเสร็จเราก็ออกเดินทางไปสู่ บาน่าฮิลล์ กันเลยค่ะ (ตื่นเต้นสุดๆ) เห็นแต่ Youtube คราวนี้ได้มาสัมผัสจริงๆ
เมื่อขึ้นสู่ที่สูง หมอกก็จะหนาตา จนมองอะไรไม่เห็นกันเลย เมื่อถึงบนบาน่าฮิลล์ มีฝนตกเล็กน้อย แต่หมอกลงหนามาก
ณ ที่แห่งนี้ ใหญ่โต หรูหรา ฝุดๆ
ความตื่นเต้นเริ่มขึ้นตั้งแต่ได้นั่งกระเช้าไฟฟ้านี่แหล่ะค่ะ กระเช้านี้ใช้พลังงานแสงอาทิตย์นะคะ สุดยอดไปเลย!!
เราก็เข้าไปเช็คอินที่โรงแรมเมอเคียวก่อน เพื่อเก็บสัมภาระก่อน แล้วค่อยเดินออกมาสำรวจความสวยงามของบาน่าฮิลล์กัน
มีมุมที่น่าเก็บภาพเยอะมาก
บรรยากาศในห้องพัก ที่นี่ประทับใจตรงที่ มีที่รีดผ้าให้ด้วยอ่ะ
อาคารที่นี่สไตล์ยุโรป ดูหรูหรา เหมือนมาเที่ยวยุโรปเลยเนอะ
ในสภาวะที่หมอกลงหนาขนาดนี้ เราก็ไม่ย่อท้อ
มื้อค่ำที่เยี่ยมยอด
บรรยากาศภายในห้องอาหาร
เดินเที่ยวชมใน Fantasy Park เหมาะกับวัยใสๆ สำหรับวัยอย่างเราคงทำได้แค่ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
บรรยากาศภายใน Fantasy Park
เครื่องเล่นที่เรียกความหวาดเสียว ใครใจไม่ถึงไม่แนะนำนะคะ
สำหรับไฮไลต์ของที่นี่อีกแห่งนั่นก็คือ “สะพานมือ” Golden Bridge ที่มองเห็นวิวของเมืองฮอยอันได้สุดขอบฟ้ากันเลยทีเดียว และมีสวนที่ตกแต่งสวยงาม น่าเที่ยวชมมาก เรามีเวลาไม่มากนักกับสถานที่แห่งนี้ เพราะได้เวลาเดินทางอีกครั้ง
เมื่อลงจากบาน่าฮิลล์แล้ว ไกด์จะพามารับประทานอาหารริมทะเล
ร้านอาหารที่นี่ มีส้มตำด้วยนะ เนื่องจากว่า เจ้าของร้านอาหารมีแฟนเป็นคนไทยนั่นเองค่ะ จึงมีเมนู ส้มตำไทย มาให้ลิ้มลองกันด้วยค่ะ
ภาพอาหารบางส่วนที่พอจะเก็บได้
ทริปต่อไปนั่นก็คือ ไปชมพระราชวังเว้ (พระราชวังต้องห้าม ตั้งอยู่ใจกลางของประเทศเวียดนาม เป็นเมืองของกษัตริย์ในราชวงศ์เหวียน ซึ่งตอนหลังทางฝรั่งเศสได้เข้ามารุกราน เมืองเว้ หากพื้นที่ใดยอมแพ้แต่โดยดี ทางฝรั่งเศสก็จะยึดครองไม่ทำลาย แต่ถ้าขัดแย้งก็จำทำลายเผาทิ้ง ทำให้พระาชวังเว้ มีพื้นที่ที่มีทั้งสมบูรณ์และถูกทำลายไปบ้าง ศิลปะของสิ่งก่อสร้างที่ประเทศเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็นตึกอาคารบ้านเรือน จะได้รับอิทธิพลมาจากจีนเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากพระราชวังแห่งนี้มีพื้นที่มหาศาล คือ กว้างสุดลูกหูลูกตา เดินกันไม่ทั่วค่ะ เราจึงสำรวจได้ไม่กี่ที่ ขาเริ่มหมดแรง เราจึงกลับมาที่จุดนัดหมายที่ทางไกด์ได้แจ้งไว้
ภายในพื้นที่พระราชวังก็จะเห็นวิถีชีวิตของชาวเวียดนามที่มีงานหัตถกรรม เช่น ทำหมวกงอบ
ฝีมือจริงๆ เลยค่ะ
และเราเองก็ไม่พลาดที่จะหาซื้อชุดเวียดนามมาใส่ ชุดเวียดนามหรือที่เรียกว่า "อ๋าวหญ่าย"
จากพระราชวัง เราก็ไปต่อกันที่ วัดหลินอึ่ง อีกหนึ่งไฮไลต์ที่นิยมมากันที่นี่ มาขอพรเจ้าแม่กวนอิม องค์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย อยู่ที่นี่เองค่ะ
องค์เจ้าแม่กวนอิม
จากนั้นเราก็ได้แวะไปชมหาด มีเค แหล่งที่มีชาวประมงจับสัตว์น้ำ โดยใช้เรือหางยาวและเรือกระด้ง ซึ่งก็จะจอดเรียงรายอยู่ริมหาดและในทะเล
ทริปต่อไปก็คือเดินทางไปยังร้านของฝากรัฐบาลเวียดนาม จะมีคนมาสาธิตสินค้าที่จำหน่ายแก่นักท่องเที่ยวโดยเน้นทำจากธรรมชาติ เช่น ไม้ไผ่ คาร์บอน ไม่ว่าจะเป็น แผ่นรัดกล้ามเนื้อแก้ปวดเมื่อย แก้ปวดหลัง ปวดเข่า และของจิปาถะอีกมากมาย ในราคาที่ไม่แพงมาก แต่มีประโยชน์สูง เหมาะแก่การซื้อมาฝากเพื่อนๆ ญาติๆ กันเลยค่ะ
รายการสุดท้ายก็คือ การช้อปปิ้งจากตลาดฮาน ซึ่งตลาดที่นี่ขายของพื้นเมือง ขนม กาแฟ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หากท่านมาที่นี่ไม่ต้องมุ่งหวังที่จะได้ของแท้กลับไป เพราะตลาดที่นี่มีแต่งาน Copy ตลาดที่นี่สามารถต่อรองราคาได้ ขอแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาจับจ่ายซื้อของกัน ไม่ควรต่อราคาเล่น ต่อราคาแล้วควรซื้อ เพราะถือเป็นการเสียมารยาทอย่างมากสำหรับคนเวียดนาม
จากนั้นก็ได้เวลาไปสนามบินเมืองดาลัด เรียกได้ว่า ทริปนี้ทั้งสนุก และประทับใจในความงามของบาน่าฮิลล์กันเลยทีเดียว