ยอดเขาเอเวอร์เรสต์ (EVEREST)
ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ตั้งอยู่บนเทือกเขาหิมาลัย และมีจุดชมวิวที่งดงามหลายแห่งทั้งฝั่งจีน (ทิเบต) และฝั่งเนปาล สำหรับผู้ที่ต้องการชมความงามของเอเวอร์เรสต์โดยไม่ต้องปีนเขาอย่างเต็มตัว มีวิธีที่น่าสนใจมากมายในทั้งสองฝั่งที่เราจะมาพูดถึงกัน
เอเวอร์เรสต์ฝั่งเนปาล
ฝั่งเนปาลเป็นที่นิยมมากกว่าฝั่งจีนอย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจากการคมนาคมที่สะดวกสบายกว่าและใกล้เมืองใหญ่มากกว่า นอกจากนี้ยังไม่มีปัญหาซับซ้อนในการเดินทางเข้าทิเบตเหมือนกับฝั่งจีนอีกด้วย หากคุณต้องการชมยอดเขาเอเวอร์เรสต์จากฝั่งนี้ คุณสามารถเลือกได้ระหว่างการเดินเทรคกิ้งหรือการนั่งเฮลิคอปเตอร์
1. Pikey Peak Trek
Pikey Peak Trek เป็นเส้นทางเทรคกิ้งใหม่ที่เพิ่งเปิดไม่นานและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีระยะทางสั้นกว่าเส้นทางอื่น (ใช้เวลาประมาณ 3-9 วัน ขึ้นอยู่กับความฟิตและเส้นทางที่เลือก) และความสูงของเส้นทางก็ไม่สูงเกิน 4,000 เมตร ทำให้การเดินทางไม่หนักหน่วงเกินไป ตลอดเส้นทางยังมีบ้านพักของชาวเชอร์ปาที่มีคุณภาพดีให้บริการ ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้คุณได้พักผ่อนอย่างสะดวกสบาย แต่ยังได้สัมผัสกับวัฒนธรรมของพวกเขาอย่างใกล้ชิดอีกด้วย
ตลอดเส้นทางของ Pikey Peak Trek คุณจะได้ชมวิวของยอดเขาหลายยอดในเทือกเขาหิมาลัย เช่น Dhaulagiri, Kanchanjunga, Lhotse และแน่นอนว่า Everest วิวของยอดเขาเอเวอร์เรสต์จากเส้นทางนี้จะอยู่ในระยะไกล แต่ไม่ไกลเกินไป ทำให้คุณสามารถเห็นความงดงามในรูปแบบพาโนรามาได้อย่างชัดเจน
ในอดีต เซอร์ Edmund Hillary หนึ่งในผู้พิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์ เคยเดินเทรคตามเส้นทางนี้และได้กล่าวว่าวิวของเอเวอร์เรสต์จากที่นี่ถือเป็นหนึ่งในวิวที่สวยที่สุดของเนปาล
2.Tengboche
Tengboche เป็นชื่อของมหาวิหารที่ตั้งอยู่ใกล้กับเมือง Namche Bazaar ซึ่งเป็นชุมชนชาวเชอร์ปาที่เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างที่มีสีสันสดใสและวัฒนธรรมที่โดดเด่น เส้นทางสู่มหาวิหาร Tengboche เป็นอีกหนึ่งเส้นทางเทรคกิ้งที่ยอดเยี่ยมสำหรับการชมยอดเขาเอเวอร์เรสต์และยอดเขาอื่นๆ ในเทือกเขาหิมาลัย
แม้ว่าเส้นทางนี้จะถือว่ามีความยากมากกว่าเส้นทาง Pikey Peak Trek แต่ก็ยังไม่ถือว่าลำบากหรือเหนื่อยจนเกินไป ความสูงของเส้นทางไม่เกิน 3,800 เมตร และวิวที่ได้ชมก็ไม่แพ้กัน โดยทั่วไปจะใช้เวลาเดินประมาณ 7-12 วัน
3.Everest Base Camps Trek
เส้นทางเทรคกิ้งสู่ Everest Base Camp ถือเป็นหนึ่งในเส้นทางที่ได้รับความนิยมสูงสุดในเนปาล เส้นทางนี้จะพาคุณไปยังเบสแคมป์ ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นสำหรับนักปีนเขาที่จะปีนขึ้นสู่ยอดเขาเอเวอร์เรสต์
การเทรคกิ้งตามเส้นทางนี้จะใช้เวลาประมาณ 9-19 วัน ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะใช้เฮลิคอปเตอร์ในการเดินทางกลับหรือไม่ รวมถึงว่าคุณต้องการออกนอกเส้นทางหลักมากเพียงใด โดยเส้นทางนี้จะคาบเกี่ยวกับเส้นทาง Tengboche เป็นอย่างมาก โดยคุณจะเดินขึ้นไปสูงกว่าบริเวณ Tengboche เท่านั้น
แม้ว่าจุดชมวิวยอดเขาเอเวอร์เรสต์ที่สวยที่สุดในเส้นทางนี้จะไม่อยู่ที่ Everest Base Camp แต่จะอยู่ที่ภูเขา Kala Patthar ซึ่งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย วิวจากจุดนี้ถือเป็นวิวที่ใกล้และงดงามที่สุดในการชมยอดเขาเอเวอร์เรสต์ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการปีนเขา
เส้นทางนี้จะมีความสูงกว่าสองเส้นทางแรกอย่างชัดเจน โดยจุดสูงสุดจะอยู่ที่ Everest Base Camp (5,364 เมตร) ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะประสบกับปัญหาความสูงได้
4.Gokyo
Gokyo เป็นเส้นทางเทรคกิ้งที่น้อยคนนักจะรู้จัก แต่เป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยวิวที่งดงามยากจะบรรยาย บางคนถึงกับบอกว่าวิวจาก Gokyo สวยงามยิ่งกว่าที่ Kala Patthar ซึ่งอาจเป็นเพราะจุดชมวิวนี้ตั้งอยู่ห่างจากเอเวอร์เรสต์มากกว่า
นอกจากวิวของยอดเขาเอเวอร์เรสต์แล้ว เส้นทาง Gokyo ยังมีความโดดเด่นด้วยธรรมชาติที่หลากหลาย ได้แก่ ทะเลสาบสี turquoise ของ Gokyo Lakes, ธารน้ำแข็ง Ngozumpa Glacier ซึ่งเป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในเขตเทือกเขาหิมาลัย และช่องเขาที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของเนปาลอย่าง Renjo La Pass
เส้นทางนี้มีความสูงไม่แพ้ Everest Base Camp โดยจุดชมวิว Gokyo Ri สูงถึง 5,400 เมตร ซึ่งมีโอกาสที่จะประสบปัญหาความสูงได้อย่างแน่นอน การเดินทางตามเส้นทางนี้จะใช้เวลาประมาณ 14-16 วัน
ทางเลือกอื่น
นอกจากการเทรคกิ้งแล้ว ยังมีทางเลือกอื่นที่สะดวกกว่าคือการนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปยัง Base Camp หรือชมวิวผ่านเครื่องบินเล็กที่บินผ่านแนวเทือกเขาหิมาลัย แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะสูงมาก แต่คุณจะได้เห็นวิวที่สวยงามของยอดเขาเอเวอร์เรสต์อย่างเต็มตาโดยไม่ต้องเหนื่อยจากการเดินทาง
เอเวอร์เรสด์ฝั่งจีน
แม้ว่าจะตั้งอยู่ห่างจากเมืองใหญ่มากกว่า (ระยะทางจากลาซา เมืองหลวงของทิเบตไปยัง Everest Base Camp ฝั่งจีนอยู่ที่ประมาณ 600 กิโลเมตร) และไม่มีตัวเลือกในการเดินทางอื่นนอกจากการนั่งรถ แต่คุณไม่จำเป็นต้องเดินเทรคกิ้งใดๆ เพื่อเข้าชมเอเวอร์เรสต์ฝั่งจีน เพราะรถยนต์สามารถพาคุณไปถึงหน้าจุดชมวิวได้โดยตรง จึงไม่มีปัญหาเรื่องการเดินเทรคกิ้งไกลๆ เหมือนกับฝั่งเนปาล
นอกจากนี้ วิวจากฝั่งจีนยังมีเสน่ห์อีกแบบหนึ่ง เนื่องจากคุณจะได้เห็นอีกด้านหนึ่งของยอดเขาเอเวอร์เรสต์
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน Everest Base Camp ฝั่งจีนถูกรัฐบาลจีนสั่งปิดเป็นการชั่วคราวเนื่องจากปัญหามลภาวะจากขยะที่เกิดจากการท่องเที่ยว แต่ยังคงมีบางจุดที่สวยงามและเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้
1.Rongbuk Monastery
Rongbuk Monastery เป็นจุดที่ใกล้ยอดเขาเอเวอร์เรสต์ฝั่งจีนมากที่สุด เนื่องจาก Base Camp ถูกปิดในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ที่อารามแห่งนี้คุณยังสามารถเห็นยอดเขาเอเวอร์เรสต์ได้อย่างชัดเจน และยังสามารถมองเห็นธารน้ำแข็งที่ไหลลงมาจากภูเขาหิมะด้วย
อาราม Rongbuk ถือเป็นอารามที่ตั้งอยู่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูงกว่า 5,154 เมตร ดังนั้นจึงควรระมัดระวังเรื่องอาการแพ้ที่สูงอย่างมาก
2.Gawula Pass
Gawula Pass เป็นช่องเขาที่ถือเป็นสถานที่ถ่ายภาพที่ยอดเยี่ยมสำหรับเทือกเขาหิมาลัย ทั้งฝั่งจีนและฝั่งเนปาล ที่นี่เป็นจุดที่ดีที่สุดในการถ่ายภาพของเทือกเขาหิมาลัย เนื่องจากจากช่องเขาแห่งนี้คุณสามารถมองเห็นยอดเขาเอเวอร์เรสต์ (Everest),Lhotse,Cho Oyu,Makalu และ Shishapangma เรียงรายกันไป ซึ่งทุกยอดเขาล้วนสูงกว่า 8,000 เมตรทั้งสิ้น
ใครที่สนใจท่องเที่ยวเทรคกิ้ง หรือท่องเที่ยวท้าทายความสูง ดินแดนหลังคาโลกที่เปี่ยมไปด้วยพลังศรัทธาและธรรมชาติที่ยังคงความสวยงาม ห้ามพลาด ทัวร์ทิเบต คลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลยยยย