บอตสวานา
ท่องป่าซาฟารีที่ บอตสวานา
จุดหมายปลายทางอยู่ที่อุทยานแห่งชาติโชเบ ฉันจึงไม่ได้บินเข้าไปตั้งหลักที่เมืองหลวงอย่างกาโบโรเน แต่เลือกเข้าทางชายแดนประเทศแซมเบีย เพราะอุทยานแห่งนี้อยู่ติดกับฝั่งแซมเบีย ชีวิตต้องวางแผนไหนๆ ก็จะบุกฝ่าน้ำตกไปหาวิคทอเรีย ฟอลส์ฝั่งแซมเบียทั้งที กระโดดข้ามประเทศมานิดเดียวก็ถึงอุทยานแห่งชาติโชเบแล้ว พิกัดของการบินจึงมาหามุมหย่อนตัวลงสนามบินชายแดนที่เชื่อมสถานที่อันเป็นหมุดหมายทั้ง 2 แห่งของฉัน ซึ่งนั่นก็คงหนีไม่พ้นสนามบินลิฟวิ่งสโตนในฝั่งแซมเบียที่ตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบ ใหม่เอี่ยมอ่องและสัญญาณ Wi-Fi แน่นเปรี๊ยะจนแทบไม่น่าเชื่อว่านี่ฉันกำลังใช้ชีวิตอยู่ในเรืองริมชายขอบ และข้อสำคัญมันอยู่กลางป่าดงพงไพรที่แออัดไปด้วยต้นไม้สีเขียว
และไม่ได้เหมือนกับสนามบินฮีโธรว ชาร์ลส เดอ โกล หรือเจเอฟเค ที่บรรจุผู้สัญจรที่ต่างมาเพื่อท่องป่าคอนกรีตแต่สนามบินแห่งนี้เบาโล่ง บรรจุคนแปลกหน้าของแซมเบียเอาไว้หลวมๆ ต้องเป็นพวกมีใจให้กับการผจญภัยและหลงใหลธรรมชาติเท่านั้นแหละ พวกเขาถึงจะดั้นด้นมาที่นี่ ฟังดูต้องฝ่าดงพงไพรยังไงไม่ทราบ แต่ที่นี่คงไม่ได้เฉียดแค่เศษเสี้ยวความยากลำบากของเดวิด ลิฟวิ่งสโตนเลยแม้แต่น้อย อากาศร้อนอ้าวและแสงแดดระดับเพชฌฆาตลูบแก้มเบาๆเป็นการทักทาย ไม่ได้เลวร้ายนักหรอกสำหรับคนบ้านใกล้เส้นศูนย์สูตรอย่างฉัน ใช้คำว่าชินชากับอากาศแบบนี้น่าจะถูก แต่เมื่อหอมกลิ่นแอร์ฉ่ำๆ บนรถก็คล้ายมีแม่เหล็กเหนี่ยวให้รีบสาวเท้าก้าวขึ้นพาหนะ ใหม่เอี่ยมที่คล้ายเหมือนเป็นรถดูดวิญญาณไปทันที
ชายหนุ่มผิวสีกาแฟยิ้มรับด้วยไมตรี เขาไม่ได้เป็นแค่โชเฟอร์แตควบหน้าที่เหมือนเป็นไกด์ของทัวร์แอฟริกาและพริตตี้ประจำรถด้วย พอนั่งประจำตำแหน่งสารถี ปุ๊ปเขาก็บรรยายไปพร้อมกับหยอดมุกตลอดการเดินทาง ไล่ไปตั้งแต่ดินฟ้าอากาศ และข้อมูลด้านภูมิศาสตร์ของประเทศแซมเบียทุกแขนง ภาพของเมืองลิฟวิ่งสโตนที่ปรากฏ ชวนใหหลับตาแล้วนึกถึงจังหวัดริมชายแดนที่ไหนสักแห่ง เมืองเล็กๆ ทีมีโบสถ์อยู่ใจกลางเมือง ศูนย์รวมจิตใจของชาวเมืองตั้งเผชิญหน้าอยู่กับศูนย์กลางแห่งการช้อปปิ้งของเมืองเรียกว่าออกจากโบสถ์ปุ๊ปเข้าไปช้อปต่อได้เลย
และสำหรับนักเดินทางที่อยากสำรวจว่าผู้คนที่นี่เขากินอยู่กันแบบไหน สินค้าขายอะไรดี สินค้าอะไรไม่ค่อยรุ่งมาสำรวจได้ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ตรงข้ามกับโบสถ์นี้แหละ ส่วนจำพวกของที่ระลึกเก๋ๆ ก็มีร้านรวงให้เลือกช้อปพอหอมปากหอมคอ และแน่นอนว่า คาเฟ่และร้านอาหารก็พอมีเอาไวให้นักท่องเที่ยวได้นั่งแฮงก์เอาท์กัน จะว่าไปลิฟวิ่งสโตนเป็นเมืองไม่ใหญ่โตเท่าไหร่ ผู้คนที่นี่มีแค่แสนกว่าคนเท่านั้น แต่จัดได้ว่าเป็นเมืองหลักที่นักท่องเที่ยวพุ่งมาหาเมื่อมาถึงแซมเบีย อาคารบ้านเรือนโรยสีสันไว้พอตัว อาจเป็นเพราะลิฟวิ่งสโตนเคยเป็นเมืองอาณานิคมของอังกฤษ สถาปัตยกรรมยุคโคโลเนียลจึงมีทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า
และถึงแม้ว่าการท่องเที่ยวจะเข้ามามีอิทธิพลกับเมืองนี้มากกว่าเมืองอื่นๆ แต่ผู้คนยังคงใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย ที่จริงฉันสังเกตตั้งแต่นั่งรถจากสนามบินมาที่นี่แล้วว่าผู้คนจะนิยมปั่นจักรยานเข้าเมืองหรือไม่ก็ใช้ 2 เท้าเดินเหินเข้าเมืองกัน เพราะรถเมล์ดูเหมือนยังไม่มีใครมีสตุ้งสตางค์หน่อยก็ต้องใช้เหมาแท็กซี่เอา กลางเมืองมีพิพิธภัณฑ์ลิฟวิ่งสโตน (Livingstone Museum) ให้ตามรอยเรื่องราวอดีตของเมืองนี้และแซมเบียด้วย ด้านในบอกเล่าความเปนของแซมเบียในอดีตอย่างละเอียด ว่ากันตั้งแต่กระโหลกของมนุษย์ยุคโบราณที่ขุดพบในแซมเบียไปจนถึงพวกเสื้อผ้าอาภรณ์แบบพื้นเมือง รวมถึงมุมที่แสดงเรื่องราวชีวิตของเดวิด ลิฟวิ่งสโตน ในแง่มุมต่างๆ ไปจนถึงบันทึกการเดินทางในแอฟริกาและแซมเบียของเขา ที่ว่ากันว่าเป็นฉบับจริง
ในวันรุ่งขึ้นเดินทางต่อไปที่บอตสวานา เป็นประเทศที่ต้องข้ามพรมแดนกันทางน้ำ เมื่อสุดระยะบัสจะปล่อยผู้โดยสารลงตรงแม่น้ำ จากนั้นทุกคนจะต้องลงเรือลำน้อยที่จอดคอยท่าทุกคนอยู่ และข้ามไปงั่งบอตสวานา ไม่ถึง 10 นาทีเรือก็ถึงฝั่งบอตสวานา ถึงจังหวะนี้ไม่ต้องเก้ๆ กังๆ เพราะจะมีบัสมาเสยผู้โดยสารไปส่งตรงจุดตรวจคนเข้าเมือง
ถึงตรงนี้มีบางอย่างทำให้ฉันอดสงสัยไม่ได้เพราะชาวเมืองที่เดินผ่านด่านทุกคนจะต้องไปจุ่มรองเท้าของตัวเองลงบนแอ่งน้ำเล็กๆ ด้านหน้าด่านตรวจ แม้แต่โชเฟอร์รถบรรทุกทุกคน ก็จะจอดรถลงแล้วหอบหิ้วรองทุกคู่ที่มีบนรถไปจุ่ม โชเฟอร์ช่วยคลี่คลายว่าเป็นการฆ่าเชื้อก่อนจะเข้าประเทศ ทุกคนต้องทำแบบนี้ไม่มีใครอิดออดหรือฝ่ากฎ นักท่องเที่ยวทุกคนที่เดินผ่านจึงต้องปฏิบัติเยี่ยงชาวเมือง
เมื่อมาถึงจุดลงเรือไปล่องแม่น้ำโชเบกันก่อน เป็นเรือลำย่อมที่มีห้องน้ำและเครื่องดื่มพร้อมพรั่ง ที่ต้องมีห้องน้ำเพราะเรือไม่ได้ล่องส่องสัตว์กันแค่ประเดี๋ยวประด๋าว แต่หลายชั่วโมงอยู่ คงไม่ดีแน่ถ้าเกิดต้องทำธุระแล้วต้องแวะขึ้นฝั่ง นั่งมาได้สักครู่เดียว ไกด์ที่ทำหน้าที่ขับเรือด้วยก็เริ่มสอดส่วนสายตา เขาค่อยๆ ขยับเรือเข้าใกล้ ส่งสัญญาณให้ทุกคนอยู่ในความเงียบ ที่แท้จระเข้ตัวเขื่องที่นอนซุกอยู่ใต้ขอนไม้นั่นเอง ส่วนที่นอนผึ่งแดดบนเนินทรายริมแม่น้ำก็เยอะ เห็นแล้วได้แต่นึกว่าเรือลำนี้อย่าได้ตกหรือล่มขึ้นมาเชียว เพราะนอกจากจระเข้ที่ลอยละล่องอยู่ทั้งบนบกและใต้น้ำแล้ว ยังมีฮิบโปโปเตมัสที่เริ่มทยอยพ่นน้ำและปรากฏตัวกันอย่างหนาแน่น
ต้องใช้คำว่าหนาแน่น เพราะฮิปโปไม่ได้อยู่กันลำพัง แต่เป็นสัตว์ที่อยู่กันเป็นกลุ่ม และอย่าได้ไปเฉียดเข้าใกล้เชียว เพราะฮิปโปในแอฟริกาจัดว่าดุร้ายมากขนาดที่ว่าจระเข้ยังขยาดเลย เห็นอ้วนกลมอุ้ยอ้ายแต่เวลาว่ายน้ำจะพลิ้วมาก เราได้แต่ส่องอยู่ไกลๆ เพราะเรือจอดใกล้มากไปก็อันตราย เนื่องจากฮิปโปมีน้ำหนักตัวเยอะ บางตัวน้ำหนักตัว3-4 ตัน ถ้าเข้ามาใกล้เรือเล็กอาจจะพลิกคว่ำได้สบายๆ อย่าได้ทำเป็นหย่อนอาหารเข้าปากเหมือนที่เห็นตามสวนสัตว์เชียว มันจะพุ่งเข้ามาคว่ำเรือได้ แค่เห็นขนาดของฮิปโปแต่ละตัวก็ไม่อยากเข้าใกล้แล้ว แต่ละตัวยังกะเรือดำน้ำเชียวล่ะ
ไกด์บอกว่าจะหาดูฮิปโปมากแบบนี้ต้องไปแถวแม่น้ำ ทะเลสาบ หรือไม่ก็ตามโคลน ซึ่งตอนกลางวันเราอาจเห็นลอยคออยู่ในน้ำแบบนี้ แต่พอตอนกลางคืนก็อาจจะขึ้นเดินป้วนเปี้ยนบนบก ทีแรกคิดว่ามาล่องแม่น้ำโชเบแบบนี้ ฮิปโปน่าจะเป็นขอหาดูได้ง่ายที่สุด แต่ยิ่งเรือแล่นไปก็ยิ่งพบเจอกับสัตว์ชนิดอื่นๆที่หลากหลายขึ้น นอกจากสัตว์ตระกูลกวาง ยังมีพวกนกหลากสายพันธ์ พวกควายป่าก็ยืนเงาตะคุ่มดำๆ เล็มหญ้าอยู่ริมน้ำกันเป็นระยะ แต่ที่ทำให้หูหาเบิกโพลง ก็น่าจะเป็นฝูงช้างแอฟริกากันตัวเป้งๆ ที่ยืนจับกลุ่มหากินกันอย่างเอร็ดอร่อย มีทั้งช้างพ่อ แม่ ลูก ที่อยู่กันเป็นครอบครัวอย่าน่าเอ็นดู เห็นแล้วได้แต่ดมยิ้มอยู่บนเรือ ที่จริงซาฟารีทางน้ำแค่นี้ ก็แทบจะพับกระเป๋ากลับบ้านอย่างอิ่มเอมได้แล้ว แต่ไกด์บอกยังไม่จบ ยังเหลือซาฟารีทางบกอีกครึ่งวัน ขึ้นจากเรือเลยตุนเสบียงไว้ ก่อนจะนั่งรถซาฟารีเปิดหลังคาออกไปท่องป่าในเขตอุทยานโชเบกันต่ออีก
แค่ต้นทางของอุทยานฉันก็ปิติแล้ว เมื่อมีนกเงือกตัวเขื่องกำลังเพลิดเพลินกับการใช้ชีวิตของมันอยู่ ผละจากนกเงือกมาไม่ไกล เริ่มมีฝูงกวางคูดูที่เขาบิดกันเป็นเกลียวเชียว จากนั้นอิมพาลาก็ปรากฏร่างอันสะโอดสะองให้เห็นแต่ที่ดูกรีดกรายเหมือนกวางนางงามก็น่าจะเป็นพวกตระกูลกวางแอนติโลปที่ตัวเมียมีเยอะจนไม่น่าดูเท่าไหร่ ตัวผู้จะมีเขาที่สวยงามมากกว่า
ยังมีกวางอีกหลายชนิดที่เจอได้ในอุทยานแห่งชาติโชเบ แต่ที่เยอะอีกเหมือนกันคือพวกลิงบาบูน มันอยู่กันเป็นฝูงเบ้อเริ่ม ไกด์ว่าบางฝูงนี่อยู่กันหลายร้อยตัวเลยทีเดียว แต่ละฝูงจะมีจ่าฝูงตัวใหญ่ๆ เดินกร่างๆ หน้าตาเฮี้ยวสุดๆ ผ่านกลุ่มลิงบาบูนทีไรฉันจึงนั่งนิ่งเป็นนางเอกเรื่องห้องหุ่น กลัวจะไปเข้าตาจ่าฝูง หมูป่าก็มีให้ดูกันประปราย นกนี่ไม่ต้องพูดถึง เรียกว่านักส่องนกมานี่อยู่ได้หลายวันกันเลยทีเดียว เขาว่าภายในอุทยานนี่มีนกเกือบ 500 ชนิดตามเบี้ยใบ้รายทางยังมีพวกนกกระจอกเทศ วิลเดอร์บีส ไฮยีนา ม้าลาย ควายป่า และฮิปโป แต่ที่ยังไม่เห็นเคยก็คงจะเป็นเสือดาว สิงโตและแรก ไม่เป็นไร เพราะนางเอกของอุทยานโชเบที่แท้จริงคือช้างแอริกันที่ว่ากันมีมากกว่า 6 หมื่นตัว เรียกว่า ถ้าไล่เลียงอุทยานแห่งชาติ 5-6 แห่ง ในบอตสวานา ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องช้างยกให้โชเบ
วีซ่า คนไทยจะเที่ยวแอฟริกา บอตสวานายังต้องทำวีซ่าอยู่ ถ้าใกล้ที่สุดก็ส่งเอกสารสแกนส่งไปที่สถานทูตบอตสวานาในญี่ปุ่น รอเจ้าหน้าที่ตอบเมลกลับมาแล้วค่อยโอนเงินไป ใช้เวลาทำการประมาณ 15 วันเมื่ออนุมัติแล้วจะส่งเล่มกลับมา หรือใช้บริการของเรา Angel Star Travel
Cr.บทความและรูปภาพบางส่วนจาก vacationistmag