ตะลุยเดี่ยว เที่ยวมะละกา
ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาลาเซีย มีความน่าสนใจหลากหลายอย่าง ทั้งเรื่องประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ และวัฒนธรรม ล้วนมีเสน่ห์ดึงดูดให้ใครต่อใครพากันไปสัมผัส
ในสมัยเด็กๆ วิชาภูมิศาสตร์สอนให้รู้จัก “ช่องแคบมะละกา” ภาพจำของสถานที่นี้จึงมีแค่ช่องแคบน้ำทะเลลึกที่เป็นเส้นทางเดินเรือสินค้าที่สำคัญแต่มากกว่าช่องแคบเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับเกาะสุมาตรา มะละกา ยังมีฐานะเป็นจักรวรรดิการค้าที่ยิ่งใหญ่ ที่ชัยภูมิที่ดี จนได้รับฉายาว่า Golden Age หรือขวานทอง มีสินค้าสำคัญคือเครื่องเทศ ซึ่งเป็นที่ต้องการของหลายต่อหลายประเทศ
ด้วยความอ่อนด้อยทางเทคโนโลยีมะละกาจึงถูกประเทศมหาอำนาจผลัดมือกันยึดครอง เริ่มตั้งแต่โปรตุเกสในปี พ.ศ. 2054 เนเธอร์แลนด์ปี พ.ศ. 2184 และอังกฤษ ปี พ.ศ. 2367 จนมสิ้นสุดสถานภาพ “ผู้ถูกปกครอง” ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด (พ.ศ. 2500) เมื่อมะละกา เข้ารวมอยู่ในสหภาพมาลายาและกลายเป็นรัฐหนึ่งที่อยู่ทางตอนใต้จองมาเลเซีย ด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และยังคงรักษาสถานภาพนี้ไว้เป็นอย่างดี ทำให้องค์การยูเนสโก ประกาศให้มะละกา เป็นเมืองมรดกโลกด้านวัฒนธรรม เมื่อปี ค.ศ. 2551
จัตุรัสแดง บนถนน Laksamana ดูเหมือนจะเป็น Landmark หรือจุดเริ่มต้นของนักท่องเที่ยวทุกคน เพราะบริเวณนี้เป็นเหมือนศูนย์กลางของอารยธรรมที่รายล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมต่างๆ และที่เรียกว่าเป็นจัตุรัสแดงนั้นก็เพราะสถานที่เกือบทุกแห่งถูกทาทับด้วยสีแดง จะเหลือไว้ก็เพียงประตูหน้าต่างเท่านั้นที่เป็นสีขาว
อาคารหลังแรกคือ โบสถ์คริสต์ หรือ CHRIST CHURCH 1753 สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1753 ตามที่ระบุไว้บนอาคารเป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นสมัยเนเธอร์แลนด์ปกครอง โดยได้นำอิฐสีชมพูมาจกประเทศของตนเพื่อก่อสร้างอาคารต่างๆ และเมื่อผสมเข้ากับดินแดงของมะละกา ทำให้อาคารที่สำเร็จออกมามีสีสันที่สวยงาม และหลังจากที่อังกฤษเข้ามาปกครองก็ทาสีแดงช้ำเข้าไปตามสีเดิมของอาคารทำให้เป็นเอกลักษณ์ที่ยังคงไว้จนถึงทุกวันนี้
ถัดจากโบสถ์คริสต์คือ ที่พักของผู้ว่าการ และเจ้าหน้าที่ชาวดัชต์ ที่ว่ากันว่าเก่าแก่ที่สุด เพราะสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1650 นั่นคือ อาคารสตัดธิวส์ (Stadthuys) ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใช้สำหรับบอกเล่าประวัติศาสตร์ของเมืองและผู้คนผ่านแผ่นป้ายขนาดย่อ
ติดกันคือ พิพิธภัณฑ์เยาวชน (Malaysia Youth Museum) และมะละกา อาร์ต แกลลอรี่ ที่มีผลงานดีๆ จัดแสดงไว้มากมาย ตรงกลางจัตุรัสแดงเป็นลานน้ำพุ ที่สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1904 เพื่อถวายแด่ราชินีวิคตอเรียของอังกฤษ เนื่องในวโรกาสที่ขึ้นครองราชย์ ในปี ค.ศ. 1837 ชาวเมืองจึงพากันเรียกน้ำพุแห่งนี้ว่า น้ำพุวิคตอเรีย แต่ที่เก่ากว่าคือ หอนาฬิกา เพราะสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1886
นอกจากนี้ยังมี พระราชวังมะห์มุดเป็นพระราชวังไม้ของสุลต่าน ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงวัฒนธรรมมะละกา และป้อม AFomosa เป็นสิ่งก่อสร้างของชาวโปรตุเกสเพียงแห่งเดียวที่หลงเหลืออยู่
ว่ากันว่าเดิมทีนั้นมีป้อมปราการแบบนี้ถึง 5 ป้อม แต่เมื่อชาวดัชด์ หรือชาวเนเธอร์แลนด์เข้ามาปกครองก็ทำลายทั้งหมดทิ้ง สถาปัตยกรรมที่เห็นส่วนใหญ่ในบริเวณจัตุรัสแดงจึงเป็นของชาวดัชต์ หลายคนจึงเรียกติดปากบริเวณนี้ว่า ดัชต์สแควร์
มะละกาเป็นเมืองมรดกโลกที่ยังคงมีเสน่ห์ชวนให้ทุกคนได้สัมผัส ทัวร์มาเลเซียจึงไม่ต้องมีเวลามาก แค่ 2-3 วันก็เพียงพอที่จะทำให้คุณหลงรักมะละกาได้ไม่ยาก
สนใจทัวร์มาเลเซียเพิ่มเติม คลิกที่นี่